สมบัติสารและการจำแนกสาร


สารและสมบัติของสาร

สสาร(Matter) หมายถึง สิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และสามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น ดิน น้ำ อากาศ ภายในสสารเป็นเนื้อของสสาร เรียกว่า สาร(Substance)

สาร(Substance) คือ สสารที่ทราบสมบัติหรือสสารที่จะศึกษา ดังนั้นจึงเป็นสสารที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีสมบัติของสาร 2 ประเภท คือ

- สมบัติกายภาพ(Physical Property) หมายถึง สมบัติที่สังเกตได้จากลักษณะภายนอกและเกี่ยวกับวิธีการทางฟิสิกส์ เช่น ความหนาแน่น,จุดเดือด,จุดหลอมเหลว

- สมบัติทางเคมี(Chemistry Property) หมายถึง สมบัติที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาเคมี เช่น การติดไฟ,การเป็นสนิม,ความเป็น กรด-เบสของสาร
 

การเปลี่ยนแปลงสาร การเปลี่ยนแปลงสาร แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

- การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ(Physical Change) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกี่ยวกับสมบัติกายภาพ โดยไม่มีผลต่อ องค์ประกอบภายใน และไม่เกิดสารใหม่ เช่น การเปลี่ยนสถานะ,การละลายน้ำ

- การเปลี่ยนแปลงทางทางเคมี(Chemistry Change) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกี่ยวข้องกับสมบัติทางเคมีซึ่งมีผลต่อองค์ประกอบภายใน และจะมีสมบัติต่างไปจากเดิม นั่นคือ การเกิดสารใหม่ เช่น กรดเกลือ(HCl) ทำปฏิกิริยากับลวดแมกนีเซียม(Mg) แล้วเกิดสารใหม่ คือ ก๊าซไฮโดรเจน (H2 )
 

การจัดจำแนกสาร จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่

1.การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

- สถานะที่เป็นของแข็ง(Solid) จะมีรูปร่างและปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม(KMnO4),ทองแดง(Cu)

- สถานะที่เป็นของเหลว(Liquid) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุและมีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็งและมี สมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน,แอลกอฮอล์,ปรอท(Hg)

- สถานะที่เป็นก๊าซ(Gas) จะมีรูปร่างและปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่างจะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ห่างกันมากที่สุด และมีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม,อากาศ

2.การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่างของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

- สารเนื้อเดียว(Homogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วนทำให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เ ช่น แอลกอฮอล์,ทองคำ(Au) , โลหะบัดกรี

- สารเนื้อผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติไม่เหมือนกัน ตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย,น้ำคลอง

3.การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

- สารที่ละลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง(NaCl),ด่างทับทิบ(KMnO4

- สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรีน(Cl2),ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2

- สารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น กำมะถัน(S8),เหล็ก(Fe) 

4.การนำไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

- สารที่นำไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง(Cu),น้ำเกลือ 

- สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น หินปูน(CaCO3 ),ก๊าซออกซิเจน(O2)
 


 

แต่โดยส่วนใหญ่นักเคมี จะแบ่งสารตามลักษณะเนื้อสารเป็นเกณฑ์ ดังนี้

สารบริสุทธิ์(Pure Substance) คือ สารเนื้อเดียวที่มีจุดเดือด และ จุดหลอมเหลวคงที่

ธาตุ(Element) คือ สารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวกัน เช่น คาร์บอน(C),กำมะถัน(S8)

สารประกอบ(Compound Substance) เกิดจากธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน โดยมีอัตราส่วนในการร่วมกันคงที่แน่นอนได้แก่ กรดน้ำส้ม (CH3COOH ),กรดไฮโดรคลอริก(HCl) 

ของผสม(Mixture) หมายถึง สารที่เกิดจากการนำสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกัน โดยไม่จำกัดส่วนผสมและในการผสมกันนั้นไม่มีปฏิกิริยา เกิดขึ้นระหว่างสารองค์ประกอบที่นำมาผสมกัน ซึ่งมี 3 ประเภท ได้แก่

1.สารละลาย(Solution Substance) เป็นสารเนื้อเดียวที่มีสัดส่วนในการรวมกันของธาตุหรือสารประกอบไม่คงที่ไม่สามารถเขียนสูตรได้ อย่างแน่นอน และ มีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่า 10-7 เซนติเมตร ซึ่งมี 3 สถานะ เช่น อากาศ,น้ำอัดลม,นาก,และโลหะผสม ทุกชนิด ซึ่งสารละลาย จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ตัวทำละลาย(Solvent) และตัวถูกละลาย(Solute) จะมีข้อสังเกต ดังนี้

- สารใดที่มีปริมาณมากจะเป็นตัวทำละลาย และ สารใดมีปริมาณน้อยจะเป็นตัวถูกละลาย เช่น แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ มีเอทานอล 70% และ น้ำ (H2O) 30% หมายความว่า น้ำจะเป็นตัวถูกละลาย และ เอทานอลเป็นสารละลาย เพราะแอลกอฮอล์มีปริมาณตามเปอร์เซนต์ที่มากก ว่าน้ำ

- สารใดที่มีสถานะเช่นเดียวกับสารละลายเป็นตัวทำละลาย เช่น น้ำเชื่อม ซึ่งน้ำเชื่อมจัดอยู่ในสภาพที่เป็นของเหลว ( Liquid ) ดังนั้นจึง สรุปได้ว่า น้ำเป็นตัวทำละลาย และ น้ำตาลทราย(C12H22O11) เป็นตัวถูกละลาย

2.สารแขวนลอย(Suspension Substance) คือ สารที่เกิดจากอนุภาคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากกว่า 10-4 เซนติเมตร ซึ่งจะลอย กระจายอยู่ในตัวกลางโดยอนุภาคที่มีอยู่ในของผสมนั้นมีขนาดใหญ่ จึงสามารถมองเห็นอนุภาคในของผสมได้อย่างชัดเจน เมื่อตั้งทิ้งไว้ อนุภาคจะ ตกตะกอนลงมา ซึ่งสารแขวนลอยนั้นจะไม่สามารถผ่านได้ทั้งกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟน เช่น โคลน,น้ำอบไทย

3. คอลลอยด์(Colliod) จะประกอบด้วยอนุภาคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 10-4 และ 10-7 เซนติเมตร ซึ่งจะไม่มีการตกตะกอน สามารถกระเจิงแสงได้ ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ปรากฏการณ์ทินดอลล์" และภายในอนุภาคก็มีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนียน(Brownian Movement) กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนที่ที่ไม่แน่นอน ในแนวเส้นตรง ซึ่งจะสามารถส่องดูได้จากเครื่องที่เรียกว่า "อัลตราไมโครสโคป" (Ultramicroscope) ซึ่งคอลลอยด์จะสามารถผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไม่สามารถผ่านกระดาษเซลโลเฟนได้ เช่น กาว,นมสด

 

 

 


อ้างอิง http://wiki.stjohn.ac.th/groups/poly_basicscience/wiki/1fdb3/_6_.html

Advertising Zone    Close
 
Online:  1
Visits:  4,366
Today:  9
PageView/Month:  15

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com